‘ตลาดคาร์บอนเครดิตไทย’ เทรนด์สู่ความยั่งยืน ? 

ตลาดคาร์บอนเครดิต

โลกกำลังเผชิญกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง ทำให้ทุกประเทศต้องหันมาให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อชะลอภาวะโลกร้อน วิธีการหนึ่งที่ได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ คือ ตลาดคาร์บอนเครดิต ซึ่งประเทศไทยก็กำลังพัฒนาในเรื่องนี้อย่างจริงจัง จนกลายเป็นเมกะเทรนด์ที่น่าจับตามอง

ตลาดคาร์บอนเครดิต คืออะไร

ตลาดคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit Market) คือ ระบบการซื้อขายหน่วยคาร์บอนเครดิต ซึ่งเป็นการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นกลไกที่ใช้บรรเทาผลกระทบจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ด้วยการทำให้การลด และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีราคา สามารถซื้อขาย แลกเปลี่ยนได้ ในรูปแบบคาร์บอนเครดิต ทำให้ผู้ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีต้นทุนที่ต้องจ่ายเพิ่ม และทำให้ผู้ที่ลด หรือกักเก็บก๊าซเรือนกระจกได้มีรายได้ จูงใจให้เกิดความร่วมมือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกภาคส่วน

โดยทั่วไปตลาดคาร์บอนเครดิตจะแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ ตลาดคาร์บอนเครดิตภาคบังคับ ซึ่งกำหนดโดยรัฐบาล และตลาดคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจสำหรับองค์กรที่ต้องการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์

สถานการณ์ตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย 

ตลาดคาร์บอนเครดิตในไทยมีแนวโน้มขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทั้งจากความต้องการของภาคเอกชนที่ต้องการปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดใหม่ๆ และจากการส่งเสริมสนับสนุนขององค์กรภาครัฐและมาตรการต่างๆ ที่ออกมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้เกิดการลงทุนและพัฒนาโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตลาดคาร์บอนเครดิตจึงนับเป็นอีกหนึ่งเมกะเทรนด์ที่ภาคธุรกิจไทยจำเป็นต้องให้ความสนใจ 

  • ในปี 2563 ประเทศไทยได้ประกาศแผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ พ.ศ. 2564-2573 ซึ่งระบุถึงการนำระบบการซื้อขายคาร์บอนเครดิตมาใช้เป็นหนึ่งในมาตรการ 
  • ประเทศไทยได้มีการกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกตามพันธกรณีของข้อตกลงปารีส ซึ่งส่งผลให้มีการผลักดันมาตรการต่างๆ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงการพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิต 
  • ปัจจุบันมีหลายองค์กรเริ่มประกาศเป้าหมายที่จะเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) รวมทั้งการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) อย่างชัดเจน นอกจากนี้ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ได้จัดตั้งเครือข่ายคาร์บอนนิวเทรัลประเทศไทย (Thailand Carbon Neutral Network : TCNN) ขึ้นเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคท้องถิ่นในการยกระดับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนสังคมที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศและมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ตามเจตนารมณ์ของประชาคมโลกที่ปรากฎในเป้าหมายของความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 
  • การเติบโตของภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง การขยายตัวของอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน เกษตรกรรมยั่งยืน การจัดการขยะและของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ จะเพิ่มปริมาณคาร์บอนเครดิตเข้าสู่ตลาดมากขึ้น 

แนวโน้มตลาดคาร์บอนเครดิตในไทย

องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ชี้ว่าคาดการณ์ว่าความต้องการคาร์บอนเครดิตในไทยจะอยู่ที่ 182-197 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ต่อปี ภายในปี 2573 จากความต้องการชดเชยคาร์บอนขององค์กรต่าง ๆ เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประเทศในทวีปยุโรปเริ่มออกมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน ก็ทำให้ผู้ประกอบการเร่งปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ มีการวัดปริมาณคาร์บอนของสินค้า และการชดเชยคาร์บอน เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันกับต่างประเทศ โดยมีปัจจัยสนับสนุน ดังนี้

  • ความต้องการคาร์บอนเครดิตที่เพิ่มสูงขึ้น: คาดการณ์ว่าความต้องการคาร์บอนเครดิตในไทยจะอยู่ที่ 182-197 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ต่อปี ภายในปี 2573
  • นโยบายภาครัฐ: รัฐบาลไทยมีนโยบายส่งเสริมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น แผนพลังงานสีเขียว และ มาตรการส่งเสริมการซื้อขายคาร์บอนเครดิต
  • ความต้องการของภาคธุรกิจ: องค์กรต่างๆ zunehmend มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero และต้องการซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
  • เทคโนโลยี: เทคโนโลยีการวัดการปล่อยคาร์บอนที่ดีขึ้น ช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถติดตามและวัดผลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ตัวอย่างภาคธุรกิจในไทย

  • บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ประกาศเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 และจะใช้คาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ไม่สามารถลดได้
  • บริษัท PTT จำกัด (มหาชน) ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 30% ภายในปี 2030 และจะลงทุนในโครงการคาร์บอนเครดิต

ซึ่งประเทศไทยเอง มุ่งไปสู่ความยั่งยืน ด้วยการประกาศเป้าหมาย Carbon Neutrality ในปี 2050 และ Net Zero ในปี 2065 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 40 ในปี 2030 ดังที่ได้ประกาศไว้บนเวทีการประชุม COP27 โดยการจะบรรลุเป้าหมายได้ ไทยต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงพร้อมๆ กับเพิ่มสัดส่วนพื้นที่ป่าไม้ของไทยให้เกินครึ่งหนึ่งของพื้นที่ประเทศในปี 2580 เพื่อเพิ่มความสามารถในการดูดซับก๊าซเรือนกระจก

โดยการซื้อขายคาร์บอนเครดิต สามารถดำเนินการได้ 2 รูปแบบ ได้แก่ 

1. การซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มตลาดซื้อขาย (Trading Platform) หรือ ศูนย์ซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่ตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อซื้อขายคาร์บอนเครดิตอย่างเป็นทางการโดยการจับคู่หรือหาผู้ซื้อและผู้ขายคาร์บอนเครดิตหรือการจัดระบบหรืออำนวยความสะดวกให้ผู้ประสงค์จะซื้อขายคาร์บอนเครดิตสามารถทำความตกลงหรือจับคู่สัญญากันได้ เช่น ตลาด FTIX ตั้งอยู่ที่ประเทศไทย ดำเนินการโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

2. ซื้อขายในระบบทวิภาค (Over the counter: OTC) ซึ่งเป็นการตกลงกันระหว่างผู้ต้องการซื้อและผู้ขายโดยตรง ซึ่งเป็นผู้พัฒนาโครงการที่ต้องการขายคาร์บอนเครดิตของตนโดยไม่ผ่านตลาด

ผู้ที่ต้องการซื้อคาร์บอนเครดิต

สามารถสอบถามตามช่องทางติดต่อในเอกสารโครงการ โดยสามารถดูเอกสารโครงการได้ที่ http://ghgreduction.tgo.or.th/tver-database-and-statistics/t-ver-registered-project.html

นักลงทุนทั่วโลก กำลังมุ่งสู่การลงทุนธุรกิจแนวคิด ESG 

แรงกดดันจากผู้บริโภค นักลงทุน และบริษัทต่างประเทศ ปัจจุบันผู้บริโภคและนักลงทุนให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น บรรษัทข้ามชาติต่างประกาศเป้าหมายลดคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ส่งผลให้บริษัทในประเทศต้องปรับกลยุทธ์ซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก 

ที่มาข้อมูล:

องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)

ไทยพับลิก้า